รีวิว iPad Pro 12.9” WiFi 2018 หลังจากตกหลุมรักมาแล้ว 1 สัปดาห์เต็มๆ

และแล้ววันนี้ก็มาถึง ไอแพดโปรตัวใหม่ล่าสุดก็ได้มาอยู่ในมือผมแล้ว
จริงๆคือผมแพลนจะซื้อตัวไอแพดโปรนี้มาซักพักใหญ่ๆแล้ว ณ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายๆเจนสองที่วางขายอยู่ เพราะว่าเจ้า 6s ของผมมันก็จะเริ่มไม่ใหวแล้ว ต้องหาทางปลดระวางซักที + ผมมี Passion อยากวาดรูปด้วย เพราะงั้น iPad Pro จึงเป็นตัวเลือกที่ผมพุ่งเป้าไปในทันที
เมื่อลองศึกษาข้อมูลดูก็พบว่าในไลน์สินค้าของ iPad Pro ไม่ได้เปิดตัวรุ่นใหม่มาสักพักใหญ่ๆแล้ว ผมจึงตัดสินใจรอ และรอมาตลอดสองเดือนกว่า จนเปิดตัว (ยอมรับว่าเฮไม่น้อย) และอีกเดือนต่อมาถึงจะได้สั่งซื้อ และอีกเกือบครึ่งเดือนกว่าของจะเดินทางมาอยู่ในมือผม
ช่างเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าจริงๆ ดังนั้นขอเก็บรวบรวมความรู้สึกที่ได้คลุกคลีมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในรีวิวนี้ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนแม้แต่อย่างใด 555555 จ่ายเอง เจ็บเอง โดยแท้
รีวิวนี้พิมพ์บนแอปฯ Medium บน iPad Pro นะครับผม
ภาพรวม
การสั่งซื้อครั้งนี้ทำผ่าน Apple Store Online ประเทศไทย โดยสั่งซื้อสินค้าทั้งหมด 3 ชิ้นด้วยกัน ประกอบไปด้วย
- iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว WiFi สีเทาสเปซเกรย์
- Smart Folio สำหรับ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว สีเทาชาร์โคล
- Apple Pencil 2
ถึงแม้จะสั่งซื้อพร้อมๆกัน แต่ทางแอปเปิ้ลเองก็ส่งสินค้าแยกเป็นชิ้นมา สินค้าจะมาถึงไม่พร้อมกัน และผู้ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามประเทศก็ไม่ใช่คนเดียวกัน เดาว่าถ้าสินค้านั้นมีมูลค่าสูงมาก แอปเปิ้ลจะเลือกไปใช้บริการของ DHL แต่ถ้าสินค้ามูลค่าไม่สูงมากนักจะใช้บริการของ UPS แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อเท็จจริงก็คงจะต้องไปถามทางแอปเปิ้ลเองล่ะครับ
แต่จะยังไงก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้วผู้ให้บริการที่มาส่งหน้าบ้านผมก็คือ Kerry 😋
ชิ้นแรก – Smart Folio สำหรับ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว
ชิ้นแรกที่มาถึงภายในสามวันหลังจากกดยืนยันออเดอร์ไปคือเจ้า Smart Folio ตัวนี้ จริงๆต้องบอกว่ามันเหมือนเป็น Smart Cover ร่างอัพเกรดมากกว่า โดยอัพเกรดให้คลุมทั้งหน้าและหลัง (แต่ไม่คลุมด้านข้าง) และก็ถือโอกาสขึ้นราคาเป็นสองเท่าซะเลย โดยอ้างว่าใช้วัตถุดิบเพิ่มขึ้นสองเท่า?



สำหรับผมถือว่าเจ้าตัวนี้เป็นของจำเป็นในระดับหนึ่ง สกิลของมันหลักๆก็จะเป็นการปกป้องริ้วรอยทั้งหน้าและหลังเครื่อง กันกระแทกนิดหน่อย ตัวโฟลิโอเองมีความเหนียวค่อนข้างมาก โดยผมทดลองงอเปล่าๆพบว่าต้องใช้แรงค่อนข้างมาก แต่ตัวมันก็ไม่ยอมงอซักเท่าไร ถือว่าค่อนข้างวางใจเรื่องเครื่องงอไปเปราะหนึ่ง
แต่อัลติที่แท้จริงก็คือ เราสามารถใช้มันช่วยในการวางตำแหน่งเครื่องในรูปแบบต่างๆได้แล้วแต่อิริยาบทในการใช้งาน โดยการพับฝาหน้าขึ้นไปเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วจากนั้นจะวางยังไงก็ได้แล้วแต่การใช้งานเลย คนที่เคยเห็นรูปแบบการใช้ Smart Cover คงมองออกได้ไม่ยาก ซึ่งสกิลนี้มันทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นมากจริงๆ
สำหรับตัว Smart Folio ตัวนี้จะใช้แม่เหล็กยึดกับหลังเครื่องตรงๆ มีความหนาแน่นพอสมควร ติดสนิท ไม่เคยหลุดแม้แต่ครั้งเดียวนอกจากจะสะบัดแรงจริงๆ แต่ต้องย้ำว่าตรงขอบด้านบนและด้านล่าง รวมทั้งด้านข้างฝั่งที่ไว้ยึดตัวดินสอจะไม่ได้รับการปกป้องใดๆ ให้ระมัดระวังการกระแทกกับของแข็งให้ดี
ชิ้นที่สอง iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว WiFi
สำหรับชิ้นที่สองที่มาถึงนี้ก็คือพระเอกของเรานั่นเอง โดยใช้เวลาไปทั้งหมดร่วมๆ 14 วันนับตั้งแต่ยืนยันออเดอร์ ความรู้สึกแรกที่แกะกล่องออกมาต้องบอกว่าว้าว! เพราะว่าไอแพดตัวล่าสุดที่ผมได้เคยจับเล่นก็คือ iPad 2 รุ่นในตำนาน ซึ่งเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ สเป็ค เทคโนโลยีใหม่ๆ เรียกได้ว่าจัดเต็มจริงๆสำหรับครั้งนี้



ถ้าเทียบกับตัวเก่าหน้าจอ 9.7 (กับขอบหนาๆ) แล้วล่ะก็ ความรู้สึกที่บอกได้เลยก็คือ มันใหญ่มาก!! และแน่นอนมันมาพร้อมกับน้ำหนักที่มากกว่า แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่สะพายเป้ไปไหนต่อไหนอยู่แล้ว
สำหรับการถือใช้งาน ผมพอจะบอกได้ว่าเจ้านี่มันเหมาะกับการใช้งานแบบตั้งบนโต๊ะซะมากกว่า เพราะด้วยน้ำหนักของมันรวมกับอุปกรณ์เสริมแบบเต็มสูบ ทำให้การถือด้วยมือลำบากพอสมควร เอาง่ายๆคือมันหนักครับ โดยเฉพาะการถือมือเดียว ส่วนการเอาไปนอนกลิ้งดูเมะ ดูซีรีย์ ตอบโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยม คุณสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาได้อย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ ไม่เหมือนกับเอาโน๊ตบุ๊คมาเปิดดู
ยิ่งถ้าได้คอมโบคู่กับ Smart Folio แล้วล่ะก็ การใช้งานจะง่าย สะดวก และสนุกมากขึ้นอีกเยอะเลย ตรงจุดนี้จะต่างกับตัว Smart Keyboard Folio นิดหน่อยตรงที่เจ้าตัวเคสคีย์บอร์ดจะจำกัดรูปแบบการวางเครื่องไว้ เราจะไม่สามารถวางเครื่องในลักษณะนอนราบแล้วยกหัวขึ้นมาเล็กน้อยได้ (เหมาะกับการเล่นเกม) ตรงจุดนี้ Smart Folio กินขาด
อีกจุดหนึ่งที่จะไม่เขียนก็คงไม่ได้โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งเคยอัพเกรดมาเป็น iPad Pro ใหม่ๆคือเรื่องของหน้าจอ แน่นอนว่าหน้าจอสไตล์ไร้ของตามสมัยนิยมมันแจ่มอยู่แล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือเจ้าตัว Pro Motion ที่ทำให้เจ้าไอแพดตัวนี้มีรีเฟรชเรทมากถึง 120 เฮิรตซ์ ที่คงไม่อาจบรรยายใดๆได้นอกจากไปเห็นด้วยตาตัวเองครับ ความสมูทของภาพ มันลื่นจนหัวแตกจริงๆ
ชิ้นสุดท้าย Apple Pencil รุ่นที่ 2
มาถึงเป็นชิ้นสุดท้ายโดยมาหลังจากชิ้นที่สองหนึ่งวันคือเจ้า Apple Pencil รุ่นที่ 2 ตัวนี้ โดยรวมผมชอบมากกว่ารุ่นแรกอยู่ตรงที่มันสามารถยึดติดกับตัวเครื่องได้ด้วยแรงแม่เหล็กพร้อมกับชาร์จและ Pair ไปในตัว ซึ่งมันควรมีมาตั้งแต่ในรุ่นแรกแล้วอ่ะนะ แล้วก็มีในส่วนของการออกแบบที่ทำให้ด้านหนึ่งของตัวด้ามแบนเรียบ ตัดปัญหาเรื่องการกลิ้งหล่นจากโต๊ะไปได้เลย



วัสดุที่ใช้เป็นแบบด้านแต่ให้ความรู้สึกในการสัมผัสนุ่มๆ ละมุนๆ จะพลาสติกก็ไม่ใช่ จะซิลิโคนก็ไม่เชิง และผมชอบเอามันลูบๆถูๆด้วยเหตุผลอันใดก็ไม่อาจทราบได้ 😘
สำหรับคุณภาพการใช้งานก็คงไม่ต่างจากรุ่นแรกมากนัก ยังเรียกได้ว่าแจ่ม เพิ่มเติมเข้ามาคือฟังชันก์แตะๆที่ตัวด้ามแล้วสามารถเปลี่ยนคำสั่งการใช้งานเครื่องมือได้โดยไม่ต้องจิ้มจอ แต่ที่ติดใจเล็กน้อยคือ ในเมื่อราคาค่าตัวมันบวกมาร่วมพัน แต่ทำไมเอ็งไม่แถมหัวทิปมาให้ด้วยฟร่ะ 😱😱😱
แต่เอ๊ะ เหมือนหัวทิปมันไม่สามารถจะถอดได้แฮะ แล้วถ้าเกิดหัวมันทู่ขึ้นมาจากการใช้งานแล้วเราจะทำยังไง? หรือว่าต้องซื้อใหม่ทั้งด้าม? หรือว่าแอปเปิ้ลมั่นใจว่ามันจะถึกทนมาก? ใครมีข้อมูลตรงนี้รบกวนแชร์ต่อให้ผมหน่อยครับ -0-
สิ่งที่รัก
โคตรไอแพดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้จับมา
ข้อนี้น่าจะถูกใจสายกราฟฟิคหรือคนที่ไม่ค่อยพกพาไปไหนต่อไหนบ่อยๆ ด้วยขนาดที่จัดว่าใหญ่ใช้ได้ แบกไปมาลำบากหน่อยแต่เห็นชัดเต็มตาแน่นอน ข้อดีแน่ๆอย่างนึงเลยสำหรับสายวาดก็คือเราสามารถเอามือทาบลงไปบนจอเวลาวาดโดยที่มือไม่ตกขอบครับ
ในเมื่อเครื่องใหญ่ แบตเตอรี่ที่ยัดเข้ามาในเครื่องก็ใหญ่ตาม ทำให้เวลาใช้งานหรือสแตนด์บายจะนานขึ้นมากกว่ารุ่นจอเล็ก
เครื่องแรงแบบแรงมากจริงๆนะเออ
การันตีด้วยการทดสอบจาก AntutuBenchmark และ Geek Bench 4 พบว่าได้คะแนนแรงแซงทุก Device ที่มีอยู่ในตอนนี้ บอกได้เลยว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีแอพใดๆที่จะสามารถรีดพลังการประมวลผลของเครื่องออกมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกหยด ยกเว้นเกมกราฟฟิคสูงๆที่จะออกมาหลังจากนี้


ในส่วนของ Antutu ได้คะแนนไปทั้งสิ้นทะลุห้าแสนคะแนนไปเป็นที่เรียบร้อย แรงกว่าไอโฟนรุ่นปัจจุบันเสียอีก โดยกว่าสามแสนคะแนนนั้นมาจากกราฟฟิกล้วนๆเลย
ส่วนของ Geek Bench ที่จะทดสอบการทำงานของหน่วยประมวลผล ในแกนเดี่ยวนั้นได้ไปถึง 4,987 คะแนน และมัลติคอร์ได้ไปทั้งสิ้น 17,692 คะแนน เรียกได้ว่าตามหลัง MacBook Pro 2017 ตัวปัจจุบันของผมชนิดที่ว่าแทบจะหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว
เอาเป็นว่าเจ้าไอแพดตัวนี้สามารถโหลดงานหนักๆอย่างการตัดต่อวีดีโอความละเอียดสูง การเรนเดอร์ภาพออกมาได้มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ประสบการณ์การวาดเขียนดีสมคำร่ำลือ



อันนี้สายวาดก็คงจะรู้ๆกันอยู่แล้ว ก่อนอื่นคือผมไม่ได้วาดเขียนเก่งเป็นทุนเดิม เรียกได้ว่าวาดรูปได้แบบไก่กามาก สมัยเรียนมีเดียจะมีคาบที่ต้องจับเมาส์ปากกาวาดรูปในคอม เป็นคาบที่ชอบและเกลียดไปพร้อมๆกัน เพราะผมไม่สามารถวาดที่นึงแต่มองอีกที่นึงได้ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
แต่พอได้เจ้าไอแพดโปรมา สิ่งแรกๆที่ผมตั้งเป้าหมายจะลองเลยก็คือความเจ๋งในการวาดว่าจะสมคำร่ำลือหรือไม่ ซึ่งก็พบว่าผมวาดบนเจ้าไอแพดโปรนี่ออกมาได้ดีพอสมควร อย่างน้อยๆก็สวยกว่าวาดบนกระดาษเยอะเลย
ส่วนด้านล่างนี้เป็นภาพจากเพื่อนสายวาดของผมที่อนุญาติให้นำมาประกอบการรีวิวครั้งนี้ ต้องขอบคุณมาล่วงหน้าด้วยจ้า


ไม่ต้องกลัวดินสอหายแล้ว <- ไม่จริงเฟร้ยยย!
หลังจากได้เสียงบ่นเสียงแซะไปพอสมควรสำหรับ Apple Pencil รุ่นแรก บัดนี้รุ่นที่สองก็ได้จุติเรียบร้อยพร้อมกับความสามารถใหม่ๆ (ที่สมควรมีตั้งแต่รุ่นแรก) ไม่ว่าจะเป็นเอาไปแปะติดข้างเครื่องได้แบบไปไหนไปกัน ซึ่งก็เป็นดาบสองคม เป็นประโยชน์และโทษไปในคราเดียวกัน หรือการจับคู่และชาร์จได้แบบไร้สาย
ในแง่ของการพกพาเอง การแปะติดข้างเครื่องแบบนี้ช่วยเพิ่ม Mobility ให้กับผู้ใช้ได้พอสมควรโดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่ม แต่จากการใช้งานมันยังมีข้อจำกัดอีกเล็กน้อยซึ้งไว้จะกล่าวในส่วนของข้อเสียในภายหลัง
แต่แอปเปิ้ลเองก็เพิ่มความแปลกใหม่ลงไปโดยทำให้เจ้าดินสอแท่งนี้ตรวจจับการ “แตะ” ลงบนตัวด้ามดินสอได้ ซึ่งเราสามารถใช้การแตะนี้สั่งงานให้กับแอปฯที่เราใช้งานอยู่ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละแอปฯว่ารอบรับได้มากน้อยแค่ไหน
หลงรักเสียงที่ออกมาจากลำโพงมากถึงมากที่สุด
เคยได้ยินคนพูดถึงมาตั้งแต่สมัย iPad Pro Gen 2 ในเรื่องของคุณภาพเสียงจากลำโพงข้างเครื่องว่ามันดีจนน่าตกใจ สำหรับรุ่นใหม่นี้เองก็มีลำโพงมาด้วยกันสี่ตัว และมีความดังกับคุณภาพที่ดีขึ้น (ทั้งๆที่เครื่องบางลง)
จุดสังเกตุคือตัวลำโพงจะทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์โดยจะตรวจจับว่าเราใช้งานเครื่องในลักษณะไหนและจะปล่อยเสียงสูงออกมาเฉพาะลำโพงคู่ที่อยู่ด้านบนเท่านั้น และถ้าเราให้เครื่องอยู่ด้านหน้าเรา มิติของเสียงจะมาเต็มมากๆ
โดยรวมคือประทับใจเสียงจากลำโพงมากๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีอุปกกรณ์บางๆชิ้นไหนให้คุณภาพเสียงได้ดีขนาดนี้ ต้องลองไปฟังดูเองแล้วจะเข้าใจ
สิ่งที่เกลียด
Apple Pencil มันไปอยู่ตรงที่สำหรับจับพอดี
ลองจินตนาการดูนะครับว่าปกติเราจับหรือหิ้วไอแพดกันในท่าไหน ถ้าตามปกติแล้วเราก็คงจะจับในด้านยาวของมันใช่ไหม ซึ่งปกติมือของเราจะนาบไปกับขอบของตัวไอแพดพอดี ทำให้จับได้อย่างมั่นคง แต่พอมีแท่งอะไรสักอย่างมาขวางระหว่างฝ่ามือเรากับไอแพด การจับจะต้องเว้นพื้นที่ไว้นิดหนึ่ง
แล้วปัญหาก็บังเกิดขึ้นทันที ในเมื่อจับไม่กระชับ มันก็เพิ่มโอกาสในการตกหล่นได้ เพราะส่วนที่สัมผัสตัวเครื่องจริงๆคือนิ้วเท่านั้นไม่ได้นาบไปทั้งฝ่ามือ
บางคนอาจจะบอกว่า “งั้น ทำไมไม่เปลี่ยนไปจับอีกฝั่งล่ะ” ถ้าเป็นแบบนั้นก็แปลว่าเราต้องหันด้านที่มีดินสอติดอยู่ลงพื้น ผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรถ้าต้องจับแบบนี้ “หรือถ้าแยกดินสอมาถือต่างหากล่ะ” อันนี้ก็คงผิดวัตถุประสงค์ที่ถูกสร้างมากับเพิ่มความลำบากเปล่าๆ
ทางแก้ก็คือ ถือระวังๆเป็นพอ
แม่เหล็กมันควรจะแข็งแรงกว่านี้สิ
สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว สิ่งที่ทำให้ผมเป็นกังวลก็คือแม่เหล็ก ถึงแม้มันจะดูดให้ดินสอติดอยู่ข้างเครื่องได้ แต่แรงแม่เหล็กมันไม่ได้มากมายอะไรเลย แค่การเผลอสะกิด (หรือเอามันไปสะกิด) แบบไม่ได้ตั้งใจเบาๆก็อาจทำให้ตัวดินสอเคลื่อนหรือหลุดออกจากตำแหน่งได้
ให้คิดซะว่าการเอาดินสอไปแปะข้างเครื่องได้ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะช่วยป้องกันการสูญหายได้ 100%
เพิ่มเติมคือให้ระวังการแปะผิดจุด เวลาแปะดินสอกับเครื่องจะต้องแปะลงตรงกลางเท่านั้นถึงจะมีแรงดูดเพียงพอ การแปะให้เบี้ยวจากตรงกลางจะยังสามารถแปะติดได้ แต่แรงดูดจะน้อยลงมากๆ และให้ระวังอย่ารูดตัวดินสอเวลาแปะลงไปแล้วเพราะอาจสร้างรอยถลอกให้ตัวเครื่องได้ และการรูดไปมาบางตำแหน่งสามารถผลักตัวดินสอให้กระเด็นออกจากเครื่องได้ (แม่เหล็กขั้วเหมือนกัน)
ระวัง! ตัวเครื่องเปราะบางกว่าที่คิด!!
สงสัยเพราะเทรนด์ความบางมาแรง ก็ไม่แปลกที่ไอแพดตัวใหม่ก็จะเกาะกระแสไปกับเค้าด้วย ก็แหม เล่นบางซะขนาดนี้จะไม่งามได้ยังไง แต่มันก็มาพร้อมๆกับข้อเสียบางอย่างซึ่งผมก็แจ็กพ็อตแตกตั้งแต่วันแรกที่ได้เครื่องมาเลย
ด้านข้างเครื่องมีรอยถลอกเล็กๆเหมือนตัวเครื่องไปถูกกระแทกมา ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้มีอะไรมากระแทก รอยนี้อาจเป็นความเสียหายระหว่างขนส่งก็เป็นได้ แต่ถามว่าจะเคลมไหม ก็คงไม่ เพราะตำแหน่งที่เป็นรอยอยู่ใต้จุดที่แปะดินสอพอดี แถมมันก็เล็กมากจนถ้าไม่สังเกตุก็คงมองไม่เห็น
ประสบการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าต้องพกพาไอแพดเครื่องนี้ออกไปข้างนอกบ่อยๆ ก็หาเคสมาใส่ซะ หรือเพิ่มความระมัดระวังซักหน่อย แต่ยังไงเสียสักวันมันก็ต้องมีรอยอยู่แล้ว ใช้งานให้เต็มที่ดีกว่ามาเสียเวลาเครียดเพราะมีรอยถลอกเล็กๆน้อยๆนะ
Productivity กับการใช้เพื่อการทำงาน
ลองเอามาทำเป็นจอที่สองได้นะ
มีแอปฯเสียเงินตัวหนึ่งชื่อว่า Duet Display เอาไว้ให้เราเสียบสายแล้วเปลี่ยนเจ้าไอแพดเป็นจอที่สองได้ มีประโยชน์มากๆเวลาไปนำเสนองานหรือสอนพิเศษเด็กกลุ่มเล็กๆ ก็ใช้เจ้าไอแพดเป็นหน้าจอพรีเซ้นซะเลย
อีกประโยชน์ของมันคือทำให้เราใช้งานสองหน้าจอได้พร้อมๆกันโดยไม่ต้องสลับไปมา สำหรับงานบางจำพวกที่ต้องการพื้นที่สำหรับชิ้นงานกว้างๆและต้องการพื้นที่สำหรับวางเครื่องมือด้วย ก็แยกจอกันไปเลย สะดวกดีเหมือนกัน
Duet Display เป็นหนึ่งในไม่กี่แอปฯที่การใช้งานหน้าจอที่สองแทบจะไม่มีความหน่วงอยู่เลย แถมความละเอียดค่อนข้างสูง เฟรมเรทก็สูง ไม่ดีเลย์อีกต่างหาก ราคาค่อนข้างคุ้มกับค่าตัว 10$ (แต่รีบหน่อย ไม่รู้มันจะปรับราคากลับเมื่อไร)
คอมโบคู่กับ Trello for iPad จัดการ Task ต่างๆได้อย่างลงตัว

ผู้รู้จักเจ้า Trello มาตั้งแต่สมัยไปฝึกงาน ความรู้สึกเหมือนเราเอากระดาษโพสอิทไปแปะที่ฝาผนังไว้เตือนว่าควรทำอะไรตอนไหน เจ้า Trello ก็มาแนวเดียวกันเลย เราสามารถสร้างการ์ดแล้วเอาไปแปะในหมวดต่างๆ แต่ละหมวดก็แทนสถานะของงานนั้นๆ
ซึ่งเราสามารถใช้เดี่ยวๆหรือใช้ร่วมกับคนอื่นก็ได้เวลาทำงานเป็นโปรเจคต์ใหญ่ๆ ส่วนตัวผมชอบประยุกต์มาเป็นโน็ตไว้คอยลิสต์ว่าต้องทำอะไรภายวันไหน มันสะดวกกว่าการจดโน๊ตปกติอย่างมาก
Trello มีทั้งเวอร์ชั่นเว็บและเวอร์ชั่นโมบาย โดยเฉพาะไอแพดที่การจัดวางหน้าตาสวยงามมาก มีพื้นที่ให้แปะการ์ดอีกเพียบ
Multitasking ช่วยให้การทำงานลื่นใหลขึ้นมาก



ตั้งแต่ iOS 11 ที่ให้ Dock กับความสามารถในการเปิดแอปฯพร้อมๆกันสองแอปฯในพื้นที่หน้าจออันเหลือเฟือของไอแพด เป็นฟีเจอร์ที่ทำออกมาแล้วใช้งานได้จริงและได้ใช้บ่อยมากๆ
ลองนึกภาพว่าการเขียนบล็อกพร้อมกับเปิดเว็บหาข้อมูลไปได้ด้วยโดยไม่ต้องสลับหน้าจอจะสะดวกขนาดไหน แถมสามารถลาก (Drag & Drop) ข้อมูลบางอย่าง เช่น รูปภาพ ระหว่างแอปฯได้อีกด้วย เรียกได้ว่าไอแพดใช้งานสะดวกและดูน่าใช้ขึ้นอีกเยอะ
โดยการแบ่งหน้าจอจะแบ่งได้ทั้งหมด 3 + 1 แบบ คือ 1:2 1:1 และ 2:1 และเพิ่มหน้าจอแบบลอยเข้ามาซึ่งจะทำให้แอปฯที่เป็น Multitask ลอยเป็น Popup อยู่บนอีกแอปฯหนึ่งได้ (ส่วนมากใช้ในกรณีบางแอปฯไม่รองรับการแบ่งหน้าจอ)
Play & Entertainment
ตอบโจทย์คนชอบนอนดูเมะ ดูซีรีย์บนเตียงแบบสุดๆ

ใครที่สมัคร Netflix ไว้แล้วสตรีมหนังมาดูบน iPad Pro 2018 ตัวนี้บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง เพราะภาพที่มาคมชัด ลื่นใหล แถมลำโพงก็ให้เสียงที่เรียกได้ว่า โคตรกระหึ่ม ใครที่ชอบนอนดูซีรีย์บนเตียงคงถูกอกถูกใจไม่น้อย
แต่ส่วนตัวผมขอไปนั่งดูตามปกติดีกว่า เพราะว่ามันเมื่อยไปหน่อย = = แถมกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วมันร่วงทับหน้านี่มีดั้งหักแน่ๆ…
เครื่องแรงขนาดนี้ จะเกมไหนๆก็ไม่กระตุก
คือประสิทธิภาพเครื่องมันแรงมากจริงๆ จะเกมที่ออกปีนี้หรืออีกสองถึงสามปีข้างหน้าคิดว่าน่าจะ “เอาอยู่”ใน setting ระดับสูงสุดทุกเกมแน่นอน
เปรียบเทียบได้ง่ายๆ เช่น iPhone 6s ที่ทดสอบ Antutu ได้คะแนนราวๆ 140,000 คะแนน ยังเล่น RoV ได้เฟรมเรทนิ่งๆที่ 60 fps เพราะฉะนั้นเจ้า iPad Pro 2018 ที่ทดสอบได้คะแนนไปกว่าห้าแสน!! คงแทบจะไม่สะท้าน
เอาจริงๆคือยังหาเกมหรือแอปฯที่มารีดความสามรถทั้งหมดของเครื่องได้ยากมาก (ยกเว้นงานประเภทเรนเดอร์นะ)
มีข้อแนะนำนิดนึงสำหรับใครที่เล่นเกมบนมือถือมาก่อนแล้วเปลี่ยนมาเล่นบนไอแพด คือ หน้าจอการควบคุมมันจะใหญ่ขึ้น ต้องหัดการควบคุมใหม่ทั้งหมด การถือเล่นนานๆเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องวางเครื่องเล่นเท่านั้น อาจจะรู้สึกแปลกๆแต่พอชินแล้วก็ไม่เป็นปัญหา และควรซื้อ Smart Folio ไว้ด้วย
หน้าจอใหญ่ขึ้น อ่านหนังสือได้สนุกเหมือนอ่านบนกระดาษ


ใครที่เป็นแฟนคลับ WEBTOON หรือ Comico น่าจะถูกใจหน้าตาแอปฯเวอร์ชั่นไอแพดพอสมควร มันกว้าง ใหญ่ อ่านได้อย่างเต็มตามากๆ เหมือนกับเราถือหนังสือ แต่มีข้อเสียเดียวคือถ้าต้องถืออ่านนานๆมันอาจจะหนักไปซักหน่อย
คำแนะนำ
กรุณาหาเคสมาใส่ ณ บัดนาว
ไม่ใช่แค่ตัวเครื่องบางลงจนสามารถหักครึ่งเครื่องได้ด้วยสองมือเพียงอย่างเดียว แต่ตัวเครื่องเองก็เปราะบางต่อริ้วรอยเล็กๆน้อยๆอย่างมาก เพียงแค่คุณจับมันโยน (เบาๆ) ลงในตระกร้าพลาสติก ตัวเครื่องก็พร้อมจะเป็นรอยได้
การจับถือ การวาง หรือจับกระแทกกับวัตถุแข็งใดๆโดยไม่ได้ตั้งใจแม้เพียงเบาๆก็สามารถสร้างรอยยุบ บุบ ถลอกที่ด้านข้างตัวเครื่องได้
ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องติดฟิล์มกันรอยหน้าจอ
เนื่องจากว่าสายตระกูล iPad Pro นั้นจะใช้หน้าจอชนิดพิเศษที่ตัวจอกับกระจกครอบจอนั้นอยู่แนบชิดกันมากๆ เหตุผลเพราะการใช้งานดินสอจะรู้สึกสมจริงมากยิ่งขึ้นถ้าหากว่าเส้นที่เขียนลงบนหน้าจอนั้นอยู่แนบชิดกับปลายดินสอ เหมือนกับว่าได้เขียนลงบนกระดาษจริงๆ การติดฟิล์ม (โดยเฉพาะฟิล์มกระจก) จะเป็นการเพิ่มช่องว่างตรงนี้
อีกประการหนึ่งคือหน้าจอไอแพดนั้นมีโอกาสเกิดการขีดข่วนน้อยกว่าไอโฟนมาก เพราะการใช้งานไอแพดส่วนใหญ่จะใช้งานแบบตั้งโต๊ะ มีน้อยครั้งมากที่จะใช้งานระหว่างกำลังเคลื่อนไหว และถ้าหากใส่เคสหรือติด Smart Folio ไว้ การพับปิดหน้าจอไว้ก็จะไม่มีโอกาสเกิดรอยขีดข่วนขึ้น
Smart Folio ของดีมันต้องมี จริงๆนะ
สำหรับเกมเมอร์หรือนักดูซีรีย์ ขอย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นไอเท็มจำเป็นที่จะขาดไปไม่ได้เลย เพราะองศาการวางตัวเครื่องที่พอเหมาะจะช่วยให้เล่นเกมหรือดูซีรีย์ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น แถมช่วยปกป้องเครื่องจากรอยถลอดด้านหลังและการงอได้ดีในระดับหนึ่ง
สรุป
เหมาะกับใคร ไม่เหมาะกับใคร
มีหลายเงื่อนไขสำหรับฟิลเตอร์ว่ารุ่นไหนคือรุ่นที่ใช้สำหรับเรา หลักๆแล้วคือตอบตัวเองให้ได้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร
- จำเป็นจะต้องพกพาบ่อยๆหรือไม่ – ถ้าหากคำตอบคือใช่ รุ่น 11” จะมีขนาดเล็กกว่ารุ่น 12.9” อยู่พอสมควร ซึ่งการพกพาจะทำได้คล่องตัวมากกว่า
- ต้องการขนาดจอใหญ่แค่ไหน – ยิ่งจอใหญ่ ยิ่งมีพื้นที่ทำงานมากขึ้น แต่ราคาค่าตัวก็จะมากขึ้นเช่นกัน
- งบประมาณเยอะแค่ไหน – ถ้าหากงบประมาณไม่สูง ตัว iPad 2018 ก็เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าสนใจอยู่พอสมควร
- ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษา ตัว iPad 2018 จะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ามากถ้านำไปจดแลคเชอร์ อ่าน PDF ดูหนัง เล่นเกมนิดๆหน่อย ไม่เน้นวาดเขียน ไม่เน้นแอปฯที่ต้องใช้กำลังประมวลผลสูงๆ
รีวิวนี้อาจจะเขียนแบบกาวๆหน่อย แถมใช้เวลาเขียนหลายวัน วันละนิดๆหน่อยๆ อาจจะสัมผัสได้ถึงความไม่ค่อยต่อกัน ก็ต้องขออภัยมาด้วยนะครับ