ผ่านมา 5 เดือน ประสบการณ์ใช้งานจริง Macbook Pro 2017 กับคุณค่าที่คู่ควร

ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนหลักด้วยนะครับ เดี๋ยวจะไปใช้คืนให้คราวหลัง อิอิ
ออกตัวก่อนว่าโน๊ตบุ๊คตัวเก่าของผมเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งจากตระกูล MSI ซึ่งถ้านับรวมวันนี้ก็ปาไปเกือบๆ 4 ปีเข้าให้ล่ะ แต่เนื่องด้วยที่มันผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนตลอดอายุการใช้งานของมัน + แบตก็เริ่มไปแล้ว ช่วงที่ขึ้นมาฝึกงานก็เลยต้องหาโน๊ตบุ๊คตัวใหม่ ซึ่งในใจตอนแรกก็ไม่ได้คิดถึง Macbook หรอก
ประเด็นมันอยู่ที่ช่วงหลังจากนี้ผมอยากจะทำเกมขึ้นมา อยากจะเอามันไปโลดแล่นบน iOS ด้วย แต่ติดที่ว่าความสะดวกในการพัฒนา การทดสอบเกมบนอุปกรณ์ iOS มันมีข้อจำกัดนิดหน่อย งั้นสรุปว่าลองผันตัวเองไปเป็น Mac Lover ดีมั้ยนะ? และนี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้ผมรักแมคแบบหัวปักหัวปำ
MacBook Pro (13-inch, 2017, Two Thunderbolt 3 ports) คือตัวปัจจุบันที่ผมใช้
เอาจริงๆนี่ก็จะสิ้นปีแล้ว เดี๋ยวผ่านปีใหม่ไปสักพัก Apple ก็น่าจะเปิดไลน์การผลิต Macbook ชุดใหม่ เห็นว่าน่าจะอัพเกรดไปเยอะมาก ตัวปัจจุบันนี่ก็คงมีคนรีวิวไปเยอะกันพอควร แถมบล็อกนี้ก็มาเขียนตอนสิ้นปีอีกไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์กับใครอีกมั้ย ฮ่าๆ แต่คิดซะว่าเขียนขึ้นมาจากการใช้งานจริง เขียนออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้รับค่าโฆษณามาจากใครเลยนะครับ ;]
สำหรับความประทับใจผมจะลองแบ่งออกเป็นข้อๆ ให้เห็นชัดๆกันไปเลย
มันเบาและบางมากๆ
ด้วยน้ำหนักของมันแค่ 1.3 กิโลกรัมเศษๆ กับดีไซน์ใหม่ที่เอาพอร์ตทุกอย่างกับช่องอ่านแผ่นซีดีออกทำให้ตัวเครื่องเรียกได้ว่า บางโคตรรรร ดังนั้นเวลาจับมันยัดใส่กระเป๋าทำได้อย่างง่ายดาย มันให้ความรู้สึกว่ากระเป๋าแทบจะไม่ปูดออกมา และด้วยน้ำหนักที่เรียกได้ว่า เบาโคตรรรรร ถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คปกติในขนาดเดียวกัน การที่ต้องแบกมันขึ้นหลังเดินไปเดินมาตลอดทั้งวันนั้นเรียกเสียงบ่นจากปากของผมไม่ได้เลย ถ้าต้องแบก MSI ตัวเก่าในสถานการณ์เดียวกันคงมีหอบกันบ้างล่ะ
เช่นเดียวกันหากต้องมีการพรีเซ้นต์งานเกิดขึ้น ผมก็แค่พับหน้าจอลงและเดินถือมันไปที่ห้องประชุมเสมือนกับว่าถือสมุดโน๊ตเล่มนึงยังไงยังงั้น (ติดอย่างเดียวที่โปรเจคเตอร์สมัยนี้มันยังไม่นิยม USB-C กันอ่ะนะ แต่ก็แก้ได้ด้วยการซื้อหัวแปลงมา) หรือจะเป็นการปั่นงานตอนดึกที่ระเบียงห้อง ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก แม้แต่ตอนที่กำลังเขียนบล็อกนี้ ผมก็นั่งเขียนที่ระเบียงห้อง (ปิดไฟ ลดเสียง ให้เมทหลับสบายๆ)
เอาเป็นว่าถ้าเป็นเรื่องการทำงานนอกสถานที่ หรือต้องแบกคอมไปมา Macbook Pro เครื่องนี้ช่วยเซฟพลังชีวิตไปได้เยอะพอสมควรเลยล่ะ
สเป็คที่แรงพอตัว เพียงพอกับงานที่ทำแล้ว

ผมนั้นเดินมาทางสายพัฒนาเกม โดยจะเน้นไปที่ Mobile เป็นหลัก ดังนั้นชีวิตประจำวันก็จะขลุกอยู่กับ Unity และเบราเซอร์ Safari เป็นหลัก ซึ่งการพัฒนาเกมลง Mobile นั้น Macbook Pro ตัวนี้ก็ตอบสนองกับงานที่ทำได้เป็นอย่างดี ไม่มีอืดหรืองอแงให้เห็น ตรงกันข้ามมันออกจะเร็วกว่าที่คิดซะด้วยซ้ำ
ส่วนตัวผมเองก็เป็นฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ในระดับนึงเหมือนกัน ตรงนี้ขอแนะนำว่าถ้าเน้นเล่นเกมด้วยแบบจริงจัง ขอให้เปลี่ยนไปมองโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งราคาดีๆที่เดี๋ยวนี้มีจัดลดราคากันบ่อยมากจะคุ้มค่ากว่า หรืออีกวิธีคือหันไปพึ่งการเล่นเกมบนเครื่องคอนโซลแทนเช่น PlayStation 4 ก็จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีกว่าในราคาไม่แรงมาก (แต่ราคาเกมนี่ตัวใครตัวมันนะ ฮาาา)
สำหรับตัว Macbook Pro เอง ถ้าเป็นการเล่นเกมที่กราฟฟิคไม่สูงมากมันก็ทำได้ดีพอตัวเลย
หน้าจอคมจัด ชัดจริง มองได้รอบด้าน

สมกับคำโฆษณาของ Apple เรื่องคุณภาพของจอว่ามีความสว่างและความคมชัดสูงที่สุดตั้งแต่มี Macbook Pro เกิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้ว ทุกๆตัวอักษรที่เห็นบนจอคมกริบ ภาพถ่ายให้ความคมชัดสูงและให้สีเที่ยงตรง อีกทั้งความต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ เจ้า MSI เครื่องเก่าของผม สีหน้าจอของมันจะสวยงามเฉพาะกับคนที่นั่งอยู่หน้าเครื่องเท่านั้น ถ้าหากลองเลื่อนตัวไปมองจากข้างๆ คุณภาพของภาพ ความสดของสีจะเปลี่ยนไปทันที แต่ปัญหานี้ไม่เกิดกับเจ้า Macbook Pro เครื่องนี้ มันยังคงให้สีที่เป็นธรรมชาติไม่ว่าจะมองมาจากด้านใหน (ด้านหลังคงไม่นับนะ)
สำหรับคนที่ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์เบื้องหลัง การได้มองโค๊ดที่เขียนบนจอคมๆของ Macbook Pro ให้ความรู้สึกค่อนข้างดีมากๆเลย
Trackpad ขนาดใหญ่กว่าเดิม ทำเอาผมลืมสิ่งที่เรียกว่าเมาส์ไปเลย
คือเจ้า Macbook Pro รุ่นใหม่ๆมานี้ ตรง Trackpad จะถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันว่าคนใช้แมคนี่แทบจะไม่ใช้เมาส์เลย เพราะการทำงานทุกอย่างสามารถทำได้บน Trackpad อันนี้ และการกวาดนิ้วไปบน Trackpad สามารถควบคุมได้ดีกว่าการจับเมาส์
การใช้งานจะมีท่า Gestures เพื่อเอาไว้ควบคุม Trackpad ให้ทำงานได้ดั่งใจนึก ผมใช้เวลาฝึกตรงนี้ไม่นานก็สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา
ส่วนตัวผมคิดว่ามันสามารถมาแทนเมาส์ได้อย่างลงตัว เพราะแต่ก่อนที่ใช้ MSI ผมต้องพกเมาส์เป็นอุปกรณ์เสริมไว้ด้วยเสมอ แต่ตั้งแต่ที่ใช้แมคมา ผมก็วางมันไว้ที่ห้องตลอด จะหยิบมันมาใช้เฉพาะตอนอยากจะเล่นเกมเท่านั้นแหละ
แต่ใหนๆก็ใหน ให้ Trackpad อันใหญ่ๆขนาดนี้มา ถ้าหากว่ามันสามารถใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ได้ก็คงดีไม่น้อยอ่ะครับ (ไว้รอลุ้นรุ่นหน้าแล้วกัน)
เรื่องแบต ถือว่าอึดมาก
ผมเคยทดสอบพิมพ์งานเล่นๆ เขียนโค๊ดโปรเจ็คต์เกม แล้วก็เสียบโทรศัพท์เพื่อแชร์เน็ตและชาร์จไปในตัว พบว่าแบตจะลดไปราวๆชั่วโมงละเกือบๆ 10% ซึ่งถือว่าค่อนข้างยาวนานทีเดียว คงเป็นเพราะว่าฮาร์ดแวร์ที่เน้นในเรื่องการประหยัดพลังงานทำให้ช่วยยืดอายุของแบตได้ การหิ้วออกไปทำงานข้างนอกสองสามชั่วโมงคงไม่เป็นปัญหาใดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วยนะว่าเราใช้เครื่องหนักแค่ใหน ถ้าเล่นเกมหนักๆหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ก็จะส่งผลให้แบตหมดเร็วขึ้นเป็นเงาตามตัว
โดยเฉลี่ยแล้วการใช้งานเต็มที่โดยที่ไม่ได้เสียบชาร์จเลยจะสามารถใช้งานได้นานราว 5–6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
แทบไม่ต้องกัลวลเรื่อง “สาย”
ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คปกติ นอกจากตัวเครื่องที่ต้องจับใส่กระเป๋าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งเลยที่ขาดไม่ได้ก็คือ “สาย” และ “อแดปเตอร์” แต่สำหรับ Macbook Pro แล้ว เจ้าสองสิ่งที่ว่ามานี้มีขนาดเล็กและเบามาก อแดปเตอร์ขนาด 61 วัตต์ มีขนาดเพียงแค่ประมาณฝ่ามือและหนักพอๆกับมือถือเครื่องนึงแค่นั้น ส่วนสาย USB-C ที่ให้มาก็สามารถถอดและม้วนเก็บได้ด้วย แต่! จากข้อดีเรื่องแบตข้างบน ทำให้บางครั้งการออกไปทำงานข้างนอกกับเจ้า Macbook Pro อาจจะไม่ตกพก “สาย” ใดๆไปเลยก็ได้
Backlit Keyboard ที่แสงไม่ทะลุขอบแล้ว
จากความรู้สึกก่อนหน้านี้ที่ใช้โน๊ตบุ๊ค MSI เป็นหลัก ซึ่งจะได้ของแถมเป็น RGB Keyboard ซึ่งก็ชอบมันนะ สวยโดดเด่น ตามสไลต์เกมมิ่งดี แต่พอมาเจอ Backlit Keyboard ของ Macbook Pro ที่แสง Backlight จะทะลุขึ้นมาแค่ที่ตัวอักษรเท่านั้น จะไม่ทะลุขึ้นมาตรงขอบของปุ่ม จะช่วยขับดันให้ตัวอักษณเด่นชัดขึ้นมาก ทำให้การพิมพ์ในที่แสงน้อยๆสะดวกมากขึ้น และแสงจากคีย์บอร์ดจะไม่แยงตาเหมือนแสงจาก RGB Keyboard มันทำให้รู้สึกว่าเราเป็น Professional ดี (อันนี้น่าจะมโนไปเอง ฮาาา)
ของแถมเป็นความเรียบหรู + ความสะดวก
ตัวเครื่องของเจ้า Macbook Pro เป็นโลหะทั้งหมด ถูกขึ้นเป็นชิ้นเดียว นั่นทำให้งานประกอบนั้นจัดอยู่ในขั้น เนี๊ยบ การออกแบบให้ตัวเครื่องบางลงทำให้พกพาไปใหนต่อใหนง่ายขึ้น การเปิดฝาพับสามารถทำได้ด้วยมือเดียว สิ่งนี้เป็นจุดแรกที่ผมประทับใจหลังจากได้ลองใช้เครื่องจริง เราสามารถใช้มือเดียวยกบานพับจอขึ้นได้โดยที่ตัวเครื่องไม่เสียสมดุล ไม่เหมือนกับโน๊ตบุ๊คปกติทั่วไป (ดูใส่ใจรายละเอียดดีนะนี่) ส่วนตัวบานพับเองดูแล้วค่อนข้างแข็งแรงมากๆ ไม่ว่าเราจะเปิดแง้มไว้กว้างแค่ใหน ตัวบานพับก็จะเปิดค้างไว้ไม่ปิดลงมาเอง
อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ไม่เคยมีในโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆคือ ถ้าหากเราชัตดาวน์เครื่องเอาไว้ แล้วเราเปิดบานพับขึ้นมาล่ะก็ ตัว Macbook Pro ก็จะเริ่มทำงานให้เองโดยอัติโนมัติโดยที่เราไม่ต้องเอื้อมไปกดปุ่ม Power เลยครับ

ในส่วนของข้อเสียนั้น เจ้า Macbook Pro เองก็มีเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะเป็นในส่วนเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกน่ารำคาญในช่วงแรกที่ใช้เสียมากกว่า ซึ่งถ้าหากผ่านการใช้งานจนคุ้นชินแล้วก็อาจจะลืมๆมันไปเลยก็ได้
ปุ่มลูกศรมีขนาดไม่เท่ากัน
ยอมรับว่าเป็นปัญหาที่เจอเป็นอันดับแรกๆและเป็นเรื่องที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อย ด้วยสไตล์การใช้งานของผมจะต้องพึ่งปุ่มลูกศรเยอะมาก โดยเฉพาะกับปุ่มลูกศรขึ้นและลง ซึ่ง Apple เองออกแบบให้สองปุ่มนี้มีขนาดเล็กลง ขณะเดียวกันก็เพิ่มปุ่มลูกศรซ้ายขวาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ช่วงแรกของการใช้นั้นผมกดผิดแทบจะทุกครั้ง เกิดอาการนอยที่ต้องหันไปมองแป้นพิมพ์ได้บ่อยๆ
หากคุ้นชินกับคีย์บอร์ด Mechanical มาก่อนคงมีเหวอ
เนื่องด้วยตัวเครื่องที่บางมากๆ ทำให้พื้นที่สำหรับยัดคีย์บอร์ดก็น้อยตามไปด้วย หากได้ลองกดครั้งแรกอาจจะมีความรู้สึกว่า นี่กดไปแล้วเรอะ?!? โดยเฉพาะกับผู้ที่ชินกับการใช้ Machanical Keyboard มาก่อนจะให้ฟีลที่แบบว่าแปลกมาก ก็คนมันไม่คุ้นนี่นา — — - ซึ่งกว่าผมจะปรับตัวให้ชินกับคีย์บอร์ดใหม่ได้ก็ใช้เวลากันพอสมควร
เสียงพัดลมตอนทำงานหนักดังใช่เล่น
ถ้าเป็นในเวลาปกติล่ะก็ เรียกได้ว่าเจ้า Macbook Pro มันเงียบมากชนิดที่ว่าแทบจะไม่ส่งเสียงอะไรออกมาให้ได้ยินเลย แต่ถ้าเมื่อใดต้องโหลดงานหนักๆให้จัดการล่ะก็ จะเกิดความร้อนสูงและจะทำให้เกิดการเร่งรอบพัดลม ซึ่งเสียงที่ออกมานั้นดังจนรู้สึกได้ และมันดังมากจนคนข้างๆสะกิดถามว่า เสียงอะไรวะ?
แต่ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรนักกับปัญหาข้อนี้ เพราะไม่ได้ใช้งานการประมวลผลระดับสูงสุดตลอดเวลา ซึ่งส่วนมากการที่จะเกิดความร้อนได้มากขนาดนี้ก็จะเป็นช่วงที่ Build ตัวติดตั้งแอพฯจาก Unity หรือไม่ก็ช่วงที่สั่ง Compress Texture ซึ่งเป็นงานที่ใช้การประมวลผลมากพอสมควรแต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ จึงสรุปภาพรวมการใช้งานได้ว่าค่อนข้างเงียบมากๆ
ถ้าเป็นไปได้อยากแนะนำให้ไปใช้รุ่นที่มี 4 Port
ไม่ใช่เพราะว่ามันมี Touch bar อะไรนั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเครื่องที่ผมใช้อยู่นี่ ทางด้านซ้ายจะมี USB-C อยู่ 2 พอร์ต กับด้านขวาที่มีแค่แจ็คเสียบหูฟังเท่านั้น เท่ากับว่าผมมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อภายนอกแค่ 2 พอร์ตเท่านั้น และเราต้องใช้ 1 พอร์ตเพื่อชาร์จไฟให้กับตัวเครื่อง
ใช่ครับ เนื่องด้วย USB-C นั้นรองรับการจ่ายกระแสได้มาก ทำให้การชาร์จไฟเข้าหรือชาร์จอุปกรณ์อื่นผ่าน Macbook Pro ก็ทำได้ไม่ยาก ดังนั้นผมจึงเหลือพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อจริงๆเพียงแค่ 1 พอร์ตเท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมาก
ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการซื้อ Hub เพิ่มเพื่อให้สามารถเสียบอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมได้ เช่นเจ้าตัวนี้ที่ผมไปเจอมา
หรืออีกทางแก้คือซื้อรุ่นที่มี 4 Port ไปเลยครับ อุ่นใจกว่า
อุปกรณ์เสริมที่ใช้ USB-C ยังมีน้อยมากๆ
แต่เทรนด์ในอนาคตมันจะต้องหลากหลายแน่ๆ ซึ่งตอนนี้เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ได้ข่าวว่ามือถือแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆที่ออกมาในปีนี้ก็เป็น USB-C กันหมดแล้ว ส่วนตัวที่สร้างความลำบากให้ผมก็จะเป็นในเรื่องของการพรีเซ้นต์งานครับ เพราะว่าโปรเจ็คเตอร์ต่างๆในปัจจุบันมันรองรับสูงสุดแค่ HDMI เท่านั้นเอง ทางแก้ก็คือไปซื้อหัวแปลงมา หรือไม่ก็ซื้อตัว HyperDrive ข้างบนเป็นการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ แต่ตัว HyperDrive เองก็มีราคาสูงใช่เล่นอยู่ เท่าที่ Googling มา น่าจะมีร้านในไทยเอามาขายบ้างแล้ว ยอมๆไป เจ็บแต่จบ
โลโก้ข้างหลังมันไม่เรืองแสงแล้วแฮะ
ยังจำได้เวลาเดินผ่านช็อปของ Apple จะต้องได้เห็นโลโก้ Apple เรืองแสงสีขาวด้านหลังของอุปกรณ์ทุกตัวเสมอ เหมือนเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ยังไงยังงั้น แต่ Macbook รุ่นสองสามปีให้หลังมานี้จะไม่มีการเรืองแสงให้เห็นอีกแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ทำให้ตัวเครื่องบางลง ทำให้จำเป็นต้องตัดระบบบางอย่างออก ซึ่งไฟด้านหลังโลโก้ก็เป็นจุดนึงที่ถูดตัดออก แต่ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ผมเอาสติ๊กเกอร์ของ Unity ที่ได้รับแจกมาจากตอนไปสัมนาแปะทับไปแล้ว ฮ่าๆๆ (เพื่อไร?)
ส่วนตัวคิดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวจริงๆ ไม่ว่าจะทำงานทั้งหนักทั้งเบา ความบันเทิง เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ก็ได้จอที่สีสวดสดเป็นธรรมชาติ ทำให้ดูหนังได้เพลินไปอีก
ตั้งแต่ใช้มา 5 เดือน ตัวเครื่องเกิดอาการค้างไปแบบดื้อๆเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น และสาเหตุส่วนใหญ่ก็น่าจะมาจากตัวผมเอง เช่น ลง Mod เกม ที่ต้องปรับแต่งการตั้งค่าของเครื่องนู่นนี่ เป็นเหตุให้ระบบขัดข้องและค้างไปในที่สุด
ถ้าถามว่าชอบไหม บอกได้เลยว่า รักเลยล่ะครับ